YOYO Effect (โยโย่ เอฟเฟกต์)
YOYO Effect โยโย่ เอฟเฟกต์ เกิดขึ้นกับหลายคนที่ตั้งใจจะลดน้ำหนักแต่ดันลดแบบผิดวิธี ลดปริมาณอาหาร หรือ เปลี่ยนชนิดของอาหาร บางคนถึงขั้นอดอาหาร รับประทานอาหารในปริมาณที่น้อยมาก รวมถึงการรับประทานยาลดน้ำหนัก การลดน้ำหนักไม่ว่าจะลดในรูปแบบใด หากไม่ศึกษาข้อมูลให้ดีพอ ก็ทำให้เกิด โยโย่ได้ นอกจากจำทำลายสุขภาพเราแล้ว อาจเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพตามมาได้
YOYO Effect โยโย่ เอฟเฟกต์ เกิดจาก ?
การเกิดโยโย่ เอฟเฟกต์ คืออาการที่น้ำหนักขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว เป็นการลดน้ำหนักได้ในระยะเวลาที่ไม่นานแล้วน้ำหนักเด้งกลับมาทำให้อ้วนกว่าเดิม สาเหตุของ โยโย่ เอฟเฟกต์ เกิดจากที่เราอดอาหาร ลดปริมาณอาหารลงอย่างรวดเร็ว และลดแคลอรี่ที่ทานเข้าไปต่อวันติดต่อกันเป็นเวลานาน ร่างกายจะเข้าสู่โหมดการเอาชีวิตรอด ทำให้ร่างกายเราลดการเผาผลาญพลังงานลง เพื่อกักเก็บสิ่งที่มีอยู่ให้มากที่สุด เพื่อความอยู่รอด จำนวนไขมันน้อยลงก็เท่ากับฮอร์โมนเลปตินลดลงทำให้เราหิวมากขึ้น ช่วงแรกน้ำหนักจะลดลงเร็วมาก สักระยะน้ำหนักจะไม่ลดและคงที่
อาการของ YOYO Effect โยโย่ เอฟเฟกต์
สมดุลฮอร์โมนในร่างกายเริ่มรวน ส่งผลให้การลดของน้ำหนักหยุดลงอย่างกะทันหันและยังทำให้ร่างกายรู้สึกหิวต้องการพลังงานมาก รวมกับเผาผลาญน้อยลง ร่างกายรับอาหารไม่เพียงพอทำให้เกิดการอยากอาหารมากขึ้น หิวบ่อย กินไม่หยุด เนื่องจากเราอดอาหารมานาน ร่างกายเกิดการเผาผลาญลดลงแล้ว ทำให้เมื่อเรากลับมารับประทานอาหารเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม ทำให้เรากลับมาอ้วนขึ้นมากกว่าเดิม บางคนอ้วนมากกว่าตอนที่ก่อนจะลดน้ำหนัก
หยุดลดน้ำหนัก กลับมาอ้วนกว่าเดิม
1.การเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ลดลง
2.อดอาหารจนร่างกายต้องเปิดโหมดเอาตัวรอด เพราะกลัวตาย
3.เริ่มหิวมากขึ้น เพราะฮอร์โมนเปลี่ยนไป เพิ่มความอยากอาหารมากกว่าปกติ
4.ร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อ
5.ท้อแท้กับการลดน้ำหนัก หยุดลดน้ำหนักทันที ร่างกายปรับตัวไม่ได้
เมื่อน้ำหนักไม่ลดตามที่ต้องการ?
เกิดความเครียด เมื่อการลดน้ำหนักไม่เห็นผล น้ำหนักไม่ลดอย่างที่ต้องการ ก่อให้เกิดฮอร์โมนความเครียด ที่เรียกว่า คอร์ติซอล (Cortisol) เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Grelin Hormone) หรือที่เรียกว่าฮอร์โมนแห่งความหิวออกมามากขึ้น ยิ่งทำให้อ้วนมากกว่าเดิม และยังส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกหลายอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น
โยโย่ เอฟเฟกต์ กับผลเสียที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
1.ไขมันเพิ่มขึ้น สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
เมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหลังจากโยโย่ เอฟเฟกต์ ซึ่งทำให้ไขมันสะสมในร่างกายได้ง่ายขึ้น ซึ่งไขมันถูกสะสมในส่วนต่างๆ ของร่างกาย การลดน้ำหนักที่รวดเร็วเกินไปยังส่งผลให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และยังทำให้การเผาผลาญของร่างกายลดลงอย่างมาก ส่งผลให้การลดน้ำหนักยากขึ้นในครั้งต่อไป
2.ลดแล้วกลับมาอ้วนกว่าเดิม
เมื่อไดเอท และทำการลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็วและไม่ถูกวิธี ทำให้มวลไขมันลดลงอย่างเร็วและผิดปกติ ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มลดน้อยลง หิวมากขึ้น กินจุกจิก เพื่อชดเชยที่ร่างกายของเราคิดว่าพลังงานของร่างกายไม่พอต่อการดำรงชีวิต การกลับมากินเหมือนเดิมทำให้อ้วนขึ้นเนื่องจากระบบเผาผลาญพังไปแล้ว
3.เกิดปัญหาสุขภาพ
การอดอาหารในช่วงของการลดน้ำหนัก ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร เกิดอาการผิวแห้ง เล็บ และผมเปราะบาง บางคนผมร่วง ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง เมื่อเกิดการโยโย่ เอฟเฟกต์ ส่งผลเสียต่อหัวใจและไตได้อีกด้วย รวมไปถึงความเครียดและพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ
หยุดโยโย่ เอฟเฟกต์ อย่างได้ผล
1.สุขภาพที่ดีต้องมาก่อน เปลี่ยนวิธีคิดในการลดน้ำหนัก
เปลี่ยนความคิดในการลดน้ำหนัก ไม่ใช้ทางลัดที่ผิดวิธี เช่น การลดน้ำหนักอย่างหักโหม หรือการกินยาลดน้ำหนัก เพื่อลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ศึกษาวิธีการดูแลรูปร่างแบบยั่งยืน
ปรับเปลี่ยนวิธีการลดน้ำหนักได้ดังนี้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร งดของหวาน ของมัน ของทอด
- สร้างเป้าหมายในการลดน้ำหนัก ลดน้ำหนักเพื่ออะไร ทำไมถึงอยากลดน้ำหนัก
- ไม่โฟกัสตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักมากจนเกินไป
- รับประทานอาหารที่ปรุงแต่งน้อย ทำอาหารรับประทานเองดีที่สุด
2.รับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติ ผอมแบบสุขภาพดี
เพิ่มปริมาณอาหารที่มาจากธรรมชาติให้มากขึ้นในแต่ละมื้ออาหาร ผัก ผลไม้ ควรจะมีในทุกมื้ออาหารโดยเฉพาะผัก เพราะอาหารจากธรรมชาติช่วยให้เราอิ่มท้องได้นาน แถมยังให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เคล็ดลับความผอม หยุดรับประทานอาหารเมื่อเรารู้สึกอิ่ม ไม่จำเป็นต้องกินอาหารให้หมดและอิ่มจนจุก
- หลีกเลี่ยงอาหารที่พลังงานสูงแต่สารอาหารน้อย อาหารที่มีไขมันสูง ผ่านการปรุงแต่งรสชาติน้ำตาลเยอะ โซเดียมสูง โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป อยากผอมต้องเริ่มต้นจากการกิน
- เลี่ยงอาหารที่มีคาร์บและน้ำตาลสูงให้รับประทานคาร์โบไฮเดรตที่ดี เพราะอาหารที่มีคาร์โบเฮเดรต ที่ผ่านการขัดสีและปรุงแต่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หิวง่ายและหิวบ่อย
- ควรรับประทานโปรตีนและไขมันดีให้เพียงพอ ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ
3.พักผ่อนให้เพียงพอ
ร่างกายจะฟื้นฟูในช่วงที่เราหลับและพักผ่อน ร่างกายจะสามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควรนอนหลับอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน การพักผ่อนเพียงพอช่วยลดความเครียดอีกด้วย
4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ถึงแม้ว่าชีวิตประจำวันจะไม่ค่อยได้ขยับเขยื้นร่างกาย เนื่องจากต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน เราก็ควรจะลุกขึ้นเพื่อขยับร่างกายบ้างแอคทีฟอยู่เสมอ หรืออาจทดแทนโดยการเลือกขึ้นบันได แทนการใช้ลิฟท์ เลือกเล่นหรือออกกำลังใบแบบที่เราถนัดและต้องเหมาะสมกับร่างกายของเรา การคาร์ดิโอจะช่วยการเผาผลาญและนำพลังงานมาใช้ได้มาก ร่างกายก็จะผอมลง
วิธีลดน้ำหนักไม่ให้กลับมาโยโย่
- รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ อย่าอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง
2. หลีกเลี่ยงอาหารจำพวก ทอด ผัด โซเดียมสูง ใส่น้ำมันในอาหารเยอะ
3. ควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ ให้เพียงพอต่อร่างกาย
4. จดบันทึกการรับประทานในแต่ละมื้อ เพื่อควบคุมปริมาณแคลอรี่ให้เหมาะสม
5. ลดไขมันและรักษามวลกล้ามเนื้อในขณะลดน้ำหนัก โดยการออกกำลังกายควบคู่กับการคุมอาหาร
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในขณะลดน้ำหนัก ในระยะสั้นช่วง 6 เดือนแรกควรออกกำลังกายประมาณ 150 นาทีต่อสัปดาห์ เมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้วควรออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เพื่อเผาผลาญไขมันออกไปมากกว่าเดิม
ดูแลการกินไม่ให้เกิด โยโย่ เอฟเฟกต์
ลดน้ำหนัก คือ การกินอาหารให้น้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ ทำให้เราหิวบ่อยมากขึ้น วิธีที่นิยมทำกันมากที่สุด คือ อดอาหาร หรือ พึ่งยาลดน้ำหนัก การลดน้ำหนักแบบนี้ ตัวเลขบนตราชั่งอาจจะลดลงอย่างที่เราต้องการ แต่น้ำหนักที่หายไปส่วนใหญ่ จะมาจากน้ำไม่ใช่ไขมัน ไขมันส่วนเกินยังอยู่เหมือนเดิม เมื่อเราอดอาหารแล้วเราทนความหิวไม่ไหวก็จะกลับมากินเยอะกว่าเดิม จนมีโยโย่ เอฟเฟกต์ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเลือกกินให้ถูกวิธีเพื่อแก้ปัญหาความอ้วนให้ตรงจุด เน้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและเส้นใยอาหารสูง เพราะจะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องนาน ลดการกินจุกจิก หรือหิวบ่อย
ข้อแนะนำในการคุมอาหาร ในช่วงลดน้ำหนัก
- งดขนมหวาน ขนมที่ผ่านการปรุงแต่งรสชาติ ถ้าตัดขนมไม่ได้ ก็กินแค่พอหายอยาก
- เปลี่ยนพฤติกรรมการกินไปตลอด ไม่ใช่ลดเป็นช่วงๆไม่จริงจัง
- ค่อยๆปรับการกิน ไม่ต้องหักโหม เลือกรับประทานอาหาร Low fat, Low Carb, กากใยสูง
โยโย่ เอฟเฟกต์ ที่มาจาก “ยาลดความอ้วน”
ไม่ว่ายาลดน้ำหนักชนิดไหน หรือมีการโฆษณาว่ามีส่วนผสมที่ดีแค่ไหน ยาลดความอ้วนเหล่านี้ก็สามารถทำให้การเกิดโยโย่ เอฟเฟกต์ได้ทั้งนั้น สาเหตุที่ทำให้เราอ้วนเกิดจากที่เรากินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ตัวยาลดน้ำหนักจะยับยั้งความหิวของเรา แน่นอนว่าทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาเจียน วิงเวียนศรีษะ เบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อย
ในตัวยาลดน้ำหนักยังฤทธิ์ในการขับน้ำ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำเยอะเกินไป เกิดอาการปากแห้งคอแห้งตลอดเวลา หลายคนหยุดกินยาลดความอ้วนเมื่อผอมลงแล้ว และยังกลับมากินเหมือนเดิม ในบางคนกินมากกว่าเดิม ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น อ้วนเร็วขึ้น เนื่องจากระบบเผาผลาญได้พังไปแล้ว ทำให้น้ำหนักและไขมันเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
การลดน้ำหนักที่ได้ผลในระยะยาวคือการควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการออกกำลังกาย เพื่อคงระดับเมตาบอลิซึม ให้สมดุลกับอาหารที่กินเข้าไป ถ้าไม่อยากโยโย่ ก็อย่าเลือกลดความอ้วนด้วยการกินยาลดความอ้วนหรืออดอาหาร อัตราน้ำหนักที่ลดลงไม่ควรเร็วเกินไป น้ำหนักควรลดลงประมาณ 300-500 กรัม ต่ออาทิตย์
แต่ ถ้าการลดน้ำหนักทำให้คุณรู้สึกท้อเพราะน้ำหนักไม่ลงอย่างที่ต้องการ มิหนำซ้ำพอหยุดการลดน้ำหนัก น้ำหนักก็ดันเด้งกลับมามากกว่าเดิมซะอีก ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปอย่างแน่นอนค่ะ ถ้าไว้วางใจให้คุณหมอลูกหนูดูแลคุณ ด้วยโปรแกรมลดน้ำหนักแบบได้ผลจริง เห็นผลไว และยังเป็นการลดน้ำหนักจากต้นเหตุอีกด้วย กับโปรแกรม Signature Slim By คุณหมอลูกหนู ที่จะช่วยทำให้การลดน้ำหนักของคุณกลายเป็นเรื่องง่าย
คุณหมอลูกหนู พร้อมให้คำปรึกษา และดูแลอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน ตั้งแต่วิเคราะห์หาสาเหตุต้นตอของการมีภาวะน้ำหนักเกิน โดยการวิเคราะห์ปัญหาของลูกค้าแต่ละท่านอย่างตรงจุด และออกแบบการลดน้ำหนักเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยสูงสุด
หากใครที่สนใจอยากให้ คุณหมอลูกหนู ดูแลคุณ เพื่อให้คุณกลับมามั่นใจในรูปร่าง และมีสุขภาพดีอีกครั้ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดคิวปรึกษาคุณหมอได้เลยนะคะ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 081-533-0444
[[ LINE ID ]] @marvelousclinic (มี @ ด้วยนะคะ)
ดูดไขมันลดน้ำหนักและสัดส่วน
ปลอดภัย ใส่ใจทุกขั้นตอน
ดูแลอย่างใกล้ชิด ได้มาตรฐาน
โดย คุณหมอลูกหนู และทีมแพทย์ด้านการออกแบบรูปร่าง
𝐂𝐎𝐍𝐓𝐀𝐂𝐓 𝐔S
𝐋𝐢𝐧𝐞 : line.me/ti/p/@marvelousclinic
𝐓𝐞𝐥 : 081-533-0444
𝐈𝐧𝐛𝐨𝐱 : http://m.me/marvelousclinic
𝐈𝐆 : www.instagram.com/marvelousclinic
𝐘𝐨𝐮𝐭𝐮𝐛𝐞 : www.youtube.com/c/DoctorLooknuu