ต้นตอ ความอ้วน ?!

ต้นตอ ความอ้วน ?!

“ความอ้วน” เป็นอะไรที่ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นเจ้าของ แต่ความอ้วนของแต่ละคนก็ยังมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป การค้นหาต้นตอที่แท้จริงของความอ้วน จะทำให้การลดความอ้วนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผล!

6 นิสัยทำอ้วน

ปรับใหม่ซะ…เพื่อหุ่นที่ดีกว่าเดิม
  • กินเรียบ

ตักแต่พอกิน เน้นน้อย ๆ ไม่อิ่มค่อยเติมทีหลัง

  • นอนดึก กินดึก

นอนอย่างน้อย ๆ ให้ได้คืนละ 8 ชั่วโมง

  • อดมื้อเช้า

มื้อเช้าสำคัญมาก ควรกินให้ครบ 5 หมู่

  • อารมณ์ไหนก็กิน

ให้กินเมื่อรู้สึกหิวไม่ใช่แค่อยาก

  • กินเร็ว

เคี้ยวอาหารคำละ 20 – 30 ครั้ง ก่อนกลืน

  • กินจุบจิบ

ไม่ซื้อขนมติดไว้ที่โต๊ะทำงานและที่บ้าน

ต้นตอ ความอ้วน ทำให้ลดน้ำหนักไม่ได้ผล

ความอ้วน” ไม่ว่าใครก็คงไม่ต้องการ นอกจากจะอึดอัด เทอะทะ อุ้ยอ้ายแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเป็นสารพัดโรค

ไขมัน

โรคอ้วน

ความดัน

เบาหวาน

แถมต้องทนกับสายตาเหยียด ๆ จากคนรอบข้างที่อาจจะมองว่าคุณไม่เอาใจใส่ดูแลตัวเอง ปล่อยปละละเลยจนเสียทั้งสุขภาพ และบุคลิกภาพ ถ้าถามว่า อยากลดน้ำหนักไหม? เชื่อว่าหลายคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยากลด” ใจจะขาด แต่ทำไมมันทำยากเหลือเกิน…ลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่าว่า เพราะอะไรจึงไม่ประสบความสำเร็จกับการลดน้ำหนัก

1. เครียด

เครียด ความอ้วน

มีผลทำให้อ้วนขึ้นได้โดยเฉพาะหน้าท้อง เพราะภาวะเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งก็คือ ความเครียด ยิ่งร่างกายกระตุ้นให้เกิดความเครียดมากขึ้นเท่าไร ต่อมหมวกไตจะยิ่งเพิ่มการผลิตของคอร์ติซอล เพราะอย่างนี้ไงไขมันหน้าท้องจึงพอกพูนมากขึ้นจนเป็นห่วงยาง รู้แบบนี้แล้วต้องรีบหาวิธีคลายเครียดโดยด่วน

2. กลัวหิว

กลัวหิว ความอ้วน

เห็นอาหารละลานตา น่ากินมาก สมองสั่งการทันทีเลยว่าควรซื้อกลับไปใส่ตู้เย็นไว้ดีกว่า เผื่อเกิดรู้สึกหิวจะได้มีอะไรกิน ฉลาดคิดดีมาก แต่ถ้าทำแบบนี้จนติดเป็นนิสัย คุณไม่มีทางลดน้ำหนักหรือขจัดไขมันออกไปจากตัวได้ เพราะส่วนใหญ่ ถ้ารู้ว่ามีของชอบอยู่ในตู้เย็นก็อดใจไม่ไหวสุดท้าย ก็จะจัดการเสียจนเกลี้ยงตู้ก่อนจะหิวจริง ๆ ทุกที

3. กินไม่ขยับ

กินไม่ขยับ ความอ้วน

หนุ่มสาวออฟฟิศดูจะน่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะเดี๋ยวนี้อากาศร้อนสุดทนจนไม่อยากก้าวเท้าออกไปไหน ข้าวเช้าข้าวเที่ยงก็ห่อมานั่งกินกันที่โต๊ะทำงาน กินเสร็จก็นั่งอยู่ที่เดิม แชทบ้าง คุยโทรศัพท์บ้าง วันทั้งวันร่างกายแทบไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเท่าไหร่ เมื่อร่างกายไม่มีการขยับ ไม่เกิดการเผาผลาญแล้วจะ ไม่ให้ไขมันสะสมได้อย่างไร

4. อดอาหาร

อดอาหาร ความอ้วน

การอดจะยิ่งทำให้ลดความอ้วนได้ยากเพราะระบบภายในร่างกายจะรวน โดยเฉพาะจะเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อระบบเผาผลาญ ระดับฮอร์โมนทั้งหลายเกิดการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าเป็นส่วนเสริมกำลังให้การลดน้ำหนักของคุณเป็นไปได้ยากมาก ๆ เช่น อดใจไม่กินมื้อเย็น แต่สุดท้ายก็ไปตบะแตกตอนกลางคืนจนได้ แถมยังกินหนักกว่าเดิม หรือหากงดมื้อเช้าก็จะทำให้ร่างกายไม่มีพลังงานเพียงพอ จะรู้สึกเพลียตลอดทั้งวัน เลิกเถอะ เพราะวิธีนี้คุณจึงอ้วนอยู่นั่นเอง

5. กินจุบจิบทั้งวัน

กินจุบจิบทั้งวัน ความอ้วน

อย่าคิดว่าอาหารบางชนิดกินแล้วไม่ทำให้อ้วน เพราะหากกินมากเกินปริมาณ ใครจะรู้ว่าร่างกายเราจะสามารถย่อยหรือเผาผลาญได้ทันหรือไม่ พฤติกรรมตามใจปาก หยุดกินไม่ได้ มีผลโดยตรงทำให้อ้วนง่าย เห็นผลเร็วมาก ทางที่ดีควรหักห้ามใจ ฝึกตัวเองให้กินเป็นเวลา อย่าหลงระเริงเพลิดเพลินไปกับการลิ้มรสจนมากเกินไป ควรกินให้อิ่มในมื้ออาหาร หากรู้สึกหิว หรืออยากกิน ให้แก้ด้วยการดื่มน้ำแทนและอย่าลืมลดปริมาณลงให้เหมาะสม

6. ติดเครื่องดื่มแคลอรี่สูง

เครื่องดื่มแคลอรี่สูง ความอ้วน

อยากกินอะไรหวาน ๆ เย็น ๆ ประเภทน้ำอัดลม น้ำหวาน ชาไข่มุก น้ำผลไม้ ฯลฯ ยิ่งอากาศร้อน ๆ ต้องเบิ้ลกันหลายแก้วถึงจะชื่นใจ ดับกระหายจินตนาการว่ากินแล้วกระปรี้กระเปร่า แต่รู้หรือเปล่าว่าน้ำตาล + แคลอรี่สูงปรี๊ด กินแล้วอ้วนไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักทั้งปวง

7. โปรดปรานอาหาร Junk Food

อาหาร junk food ความอ้วน

หมายถึงอาหารที่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางโภชนาการและให้พลังงานสูง เช่น เบอร์เกอร์ ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ฮอทด็อก พิซซ่า โดนัท ฯลฯ หากติดใจในความอร่อยลิ้นก็ควรกินในปริมาณน้อย แต่หากต้องการมีสุขภาพที่ดี รวมถึงมีรูปร่างที่สมส่วน ก็ควรเลิกกินไปเลยดีที่สุด

8. มองข้ามการเผาผลาญแคลอรี่

มองข้ามการเผาผลาญแคลอรี่ ความอ้วน

ทำมาแทบจะทุกวิธี ยกเว้นการเผาผลาญแคลอรี่ คุณไม่มีทางลดน้ำหนัก ได้สำเร็จ เพราะการเผาผลาญคือการกำจัดส่วนเกินออกไป แค่ขยับก็เท่ากับเผาผลาญ การออกกำลังที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มอัตราเผาผลาญได้ราว 10 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงการยกน้ำหนักก็เป็นการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อมากเท่าไรก็จะยิ่งเผาผลาญแคลอรี่ได้มากเท่านั้น

9. เสียดาย ” กินไม่หมดเหรอ …เดี๋ยวฉันกินเอง ”

เสียดายของ ความอ้วน

เสียดายของ พฤติกรรมแบบนี้ใช่คุณรึเปล่า เพราะนี่คือหนึ่งในสาเหตุทำให้คุณกินอาหารเกินกว่าร่างกายต้องการอยากหุ่นดี กินพอดีพออิ่มดีกว่า

วิธีลดน้ำหนัก รูปร่างเปลี่ยนได้ด้วยการปรับพฤติกรรมประจำวัน โดยเริ่มที่ตัวเอง ต้องตั้งใจจริงซึ่งทำได้ไม่ยาก

การกินอาหารเพื่อให้รูปร่างสมส่วนนั้นมีกันอยู่หลายวิธี แต่ที่สำคัญจริง ๆ ก็คือกินอาหารให้ครบหลักโภชนาการทั้ง 5 หมู่ และควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรอดอาหารเด็ดขาด

พักผ่อนให้เพียงพอ ถ้านอนไม่พอแม้จะรู้สึกบันเทิงเริงใจแค่ไหน แต่ร่างกายจะคิดว่ากำลังเครียดและหลั่งคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ออกมาในปริมาณสูง ซึ่งส่งเสริมการสะสมไขมันที่หน้าท้อง และนั่นอาจทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพสรุปสั้น ๆ ว่ากินให้ดี นอนให้พอ แล้วระบบเผาผลาญก็จะทำหน้าที่อย่างดีเอง

เราเข้าสู่วงจร “ความอ้วน” หรือยังนะ?

เมื่อรู้ถึงสาเหตุข้างต้นเกี่ยวกับ ต้นตอของความอ้วน กันแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเราเองเริ่มเข้าสู่วงจรความอ้วนรึยัง?

หยุดต้นตอ ความอ้วน มาสร้างหุ่นดี

คุณหมอลูกหนูมีวิธีเช็คว่า

เราอ้วนหรือไม่? มาฝากค่ะ

อ้วน เป็นภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมอยู่มากจนเกินไป  จนร่างกายไม่สามารถเผาผลาญพลังงานออกไปได้หมด ทำให้มีลักษณะ อ้วนลงพุง หรืออ้วนทั้งตัว ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและนำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

มาทำความรู้จัก! ไขมันหน้าท้อง

หรือพุง กันก่อนค่ะ

ไขมันหน้าท้อง หรือพุง  ถือว่าเป็นปัญหากวนใจของหลายๆ คน เพราะหน้าท้องที่มีไขมันสะสมอยู่นั้นดูไม่สวยงาม แถมยังทำให้พุงยื่นจนทำให้แต่งตัวชุดไหนก็ไม่มั่นใจ ซึ่งไขมันหน้าท้อง สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชั้นด้วยกัน คือ

1. ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)

อ้วน

ไขมันที่พบได้ที่ชั้นใต้ผิวหนัง เมื่อสะสมเป็นจำนวนมากจะทำให้พุงยื่น พุงป่อง ออกมา ความหนาของไขมันชั้นนี้ สามารถวัดได้จากเครื่องหนีบวัดไขมันหรือวัดเบื้องต้นด้วยตัวเราเองโดยใช้มือบีบหยิบขึ้นมาได้ ซึ่งไขมันชั้นใต้ผิวหนังนี่เองที่สามารถทำการ ดูดไขมัน ออกได้

2. ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)

อ้วน

ไขมันที่สะสมอยู่ลึกกว่าชั้นใต้ผิวหนัง และอยู่ใต้ชั้นกล้ามเนื้อหน้าท้องลงไปอีก โดยจะอยู่รอบอวัยวะภายในร่างกาย เช่น ตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้ หลอดเลือด เป็นต้น เมื่อสะสมเป็นเวลานานๆ ไขมันชนิดนี้ก็จะมีความแข็งตัวมากขึ้น ทำให้มีพุงยื่นออกมา และมีรอบเอวหนา ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ซึ่งไขมันในช่องท้องชั้นนี้ ไม่ สามารถดูดไขมันออกได้ หากจะทำการลดไขมันในชั้นนี้ ต้องลดน้ำหนัก คุมอาหาร และออกกำลัง

โดยทั่วไปแล้วไขมันในช่องท้องจะพบมากในคนที่อ้วนลงพุง หรือน้ำหนักเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ความอ้วน ยังเกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรือกินอาหารมากเกินไป และออกกำลังกายไม่เพียงพอกับการเผาผลาญไขมันส่วนเกินออก เราจะมีวิธีการเช็คความอ้วน โดยสามารถเปรียบเทียบได้จากค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) จากสูตร BMI = kg/m2

อ้วน

BMI (Body Mass Index) หรือดัชนีมวลกาย

เป็นเกณฑ์สากลที่สามารถประเมินความอ้วน หรือผอม สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป สามารถวัดได้ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง จากสูตรคำนวณ BMI = kg/m2

สูตรคำนวณหา BMI

ดัชนีมวลกาย (BMI) =  น้ำหนักตัว(กิโลกรัม) / ส่วนสูง(เมตร)2

อ้วน
ผอมเกินไป = BMI น้อยกว่า 18.5

น้ำหนักน้อยกว่าปกติ เสี่ยงเป็นโรคได้เช่นกัน เนื่องจากการรับสารอาหารอาจไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายอ่อยเพลียง่าย ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวัน และออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

น้ำหนักปกติ = BMI 18.5 – 22.9

น้ำหนักที่เหมาะสม สำหรับคนไทย จะมีค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5 ถึง 22.9 ซึ่งสามารถห่างไกลจากโรคที่เกิดจากความอ้วน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ น้อยที่สุด

น้ำหนักเกิน = BMI 23.0 – 24.9

เป็นกลุ่มผู้ที่มีความอ้วนอยู่บ้าง ถ้าหากว่าประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ถือว่ายังมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติ

อ้วน (อ้วนระดับ 1) = BMI 25.0 – 29.9

คนกลุ่มนี้ ถึงแม้จะยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ถือว่าอ้วนมากๆ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วนได้เช่นกัน ทั้งโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร ควรเริ่มออกกำลังกาย และควรมีการตรวจสุขภาพประจำปี

อ้วนมาก (อ้วนระดับ 2) = BMI ตั้งแต่ 30.0 ขึ้นไป

คนกลุ่มนี้ถือว่าค่อนข้างเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วนได้มากที่สุด ควรปรับพฤติกรรมการกินอาหาร และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

คนผอมมีไขมันในช่องท้องได้ไหม?

ไม่เพียงแค่คนอ้วนเท่านั้นที่มีไขมันในช่องท้องได้ คนผอมก็สามารถจะมีพุงป่องๆ ได้เช่นกัน อาจจะเกิดจากการที่ไม่เคยออกกำลังกายบริเวณหน้าท้องเลย ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการเขม่วพุงให้ได้มากที่สุด หรือที่เรียกว่า Stomach Vacuum

ทำไมต้องตรวจไขมันในช่องท้อง?

ไขมันในช่องท้องเป็นส่วนแรกที่ไขมันจะมาสะสมในร่างกาย แต่จะถูกนำไปใช้เป็นอันดับสุดท้าย ยิ่งอ้วนมากก็ยิ่งมีมาก และสะสมอยู่ภายในร่างกาย จนทำให้มีพุงยื่นออกมา และมีรอบเอวหนา ทำให้เกิดโรคเรื้อรังมากมาย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ รวมถึงภาวะภูมิแพ้ เนื่องจากไขมันจะสะสมอยู่รอบๆ อวัยวะทั้ง ตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้ และหลอดเลือด เป็นต้น มีผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว  จึงควรมีการตรวจเช็คอยู่เป็นประจำ

การวัดค่าไขมันในช่องท้อง จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์ หรือเครื่อง Inbody เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับวัดองค์ประกอบของร่างกายได้อย่างละเอียด มีความแม่นยำสูง โดยวิเคราะห์แยกส่วนประกอบของร่างกาย ได้แก่ น้ำ กล้ามเนื้อ กระดูก และไขมัน โดยใช้กระแสไฟฟ้าต่ำๆ ไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายแล้ววัดความต้านทานต่อการไหลของกระแสในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย โดยที่ส่วนของกระดูก ไขมัน จะนำไฟฟ้าไม่ดี และมีแรงต้านทานต่อการไหลของกระแสไฟฟ้าสูง ในขณะที่เลือด อวัยวะภายใน และกล้ามเนื้อจะนำไฟฟ้าได้ดีและมีแรงต้านทานต่ำ จึงทำให้สามารถวิเคราะห์ส่วนประกอบทั้งหมดในร่างกายได้อย่างละเอียด รวดเร็ว และปลอดภัย

สำหรับค่าไขมันในช่องท้องนั้น เราควรรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ระหว่าง 1 – 12 เท่านั้น

เท่าไรที่เรียกว่าอ้วนลงพุง

อ้วน

การวัดเส้นรอบเอว หรือเส้นรอบพุง สามารถวัดได้ในตำแหน่งระดับจุดกึ่งกลางระหว่างใต้ชายโครงและเหนือกระดูกสะโพก (ผ่านกลางสะดือ) แบบขนานกับพื้น ในช่วงตอนเช้าก่อนกินอาหาร รัดสายวัดให้กระชับลำตัวไม่แน่นจนเกินไป และวัดตอนจังหวะหายใจออกพอดี ซึ่งผู้ชายจะต้องมีเส้นรอบเอวไม่เกิน 90 เซนติเมตร และผู้หญิงไม่เกิน 80 เซนติเมตร ถ้ามีเส้นรอบเอวใหญ่กว่านี้อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ จากความอ้วนได้

อ้วน

อ้วนลงพุง เสี่ยงโรคเรื้อรัง

  • โรคเบาหวาน
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคไขมันในเลือดสูง
  • โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด
  • โรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด
  • โรคอัลไซเมอร์
  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
  • ภาวะภูมิแพ้
  • ภาวะไขมันพอกตับ
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

ลดไขมันในช่องท้อง ด้วย

โปรแกรม Signature Slim

ลดน้ำหนัก

Signature Slim เป็นโปรแกรมการลดน้ำหนัก ที่แตกต่างจากวิธีอื่นๆ เป็นการรักษาที่ต้นเหตุของความอ้วน ตั้งแต่การวิเคราะห์ถึงสาเหตุ ตรวจเช็คร่างกาย เพื่อดูองค์ประกอบต่างๆ ทั้งมวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อ และน้ำในร่างกาย เพื่อให้รู้ว่าปัญหาไขมันอยู่ที่ใดบ้าง ใต้ผิวหนังหรือภายในช่องท้อง มีมากน้อยเท่าไร โดย คุณหมอลูกหนู จะทำการออกแบบโปรแกรมเฉพาะแต่ละบุคคล เพื่อให้เหมาะสมและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ซึ่งรับรองถึงความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ลดจริง ลดเร็ว และไม่โทรม เรียกได้ว่าผอมแบบปลอดภัย และสุขภาพดีอีกด้วยค่ะ


ไว้ใจให้ คุณหมอลูกหนู ดูแลคุณ ด้วยประสบการณ์ด้านการลดน้ำหนักและดูแลรูปร่างยาวนานกว่า 14 ปี พร้อมให้คำปรึกษา และดูแลอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน ตั้งแต่วิเคราะห์หาสาเหตุต้นตอของความอ้วน โดยการวิเคราะห์ปัญหาของลูกค้าแต่ละท่านอย่างตรงจุด และออกแบบการดูแลรูปร่างเฉพาะบุคคล เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยสูงสุด

คุณลูกค้าที่ต้องการปรึกษาคุณหมอลูกหนู เรื่องการ ดูดไขมัน ลดน้ำหนัก แบบตรงจุด และปลอดภัย สามารถส่งรูป หรือ พิมพ์ข้อความ เข้ามาปรึกษาคุณหมอลูกหนูก่อนได้เลยค่ะ คุณหมอยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำคุณลูกค้าทุกท่านค่ะ

ดูดไขมัน ปรึกษาคุณหมอลูกหนู

เพิ่มเพื่อน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร. 081-533-0444

[[ LINE ID ]] @marvelousclinic (มี @ ด้วยนะคะ)

ดูดไขมันลดน้ำหนักและสัดส่วน
✔️ ปลอดภัย ✔️ใส่ใจทุกขั้นตอน

✔️ดูแลอย่างใกล้ชิด ✔️ ได้มาตรฐาน
โดย คุณหมอลูกหนู และทีมแพทย์ด้านการออกแบบรูปร่าง  

𝐂𝐎𝐍𝐓𝐀𝐂𝐓 𝐔S

➡️𝐋𝐢𝐧𝐞 : line.me/ti/p/@marvelousclinic

➡️𝐓𝐞𝐥 : 081-533-0444

➡️𝐈𝐧𝐛𝐨𝐱 : http://m.me/marvelousclinic

➡️𝐈𝐆 : www.instagram.com/marvelousclinic

➡️𝐘𝐨𝐮𝐭𝐮𝐛𝐞 : www.youtube.com/c/DoctorLooknuu


ดูดไขมัน ลด 65%

เรื่องดูดไขมัน ไว้ใจให้คุณหมอลูกหนูดูแล

ดูดไขมัน หมอลูกหนู ขอขอบคุณ

error: Content is protected !!